12 Jul ชีวิตติดหวาน…ไม่นานโรคภัยถามหา
ชีวิตติดหวาน…ไม่นานโรคภัยถามหา
พันโทหญิง ดร. กรกต วีรเธียร
สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม
ชีวิตติดหวาน ซึ่งคำว่า “หวาน” ในที่นี้แทนการบริโภคน้ำตาล เพราะความหวานส่วนใหญ่ที่คนเราได้รับนั้นมาจากน้ำตาล อาการติดรสชาติหวาน เกิดขึ้นเมื่อเราได้บริโภคน้ำตาลเข้าไปแล้วรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติอร่อยและมีความสุข นอกจากนี้ คนเรายังนำความหวานไปผูกกับความสุขในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันเกิดนิยมรับประทานขนมเค้ก เทศกาลปีใหม่หรือโอกาสพิเศษต่าง ๆ นิยมให้ขนมหวานทั้งขนมไทยและเบเกอรี่เป็นของขวัญ ทำให้เมื่อนึกถึงขนมหวานต่าง ๆ สมองก็จะเชื่อมโยงไปยังความสุขในช่วงเทศกาล จากการสำรวจการบริโภคน้ำตาลของคนไทย พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย มากกว่า 20 ช้อนชาต่อวัน โดยส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และแบบชงสดบรรจุในแก้ว ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม เช่น กาแฟเย็น หรือชานมชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงาน ซึ่งถ้าประชากรกลุ่มนี้สร้างนิสัยติดหวานต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคตจะกลายเป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุติดหวานตามมาด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อีกมากกมาย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือ โรคไต เป็นต้น ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก (WHO) มีคำแนะนำเรื่องการบริโภคน้ำตาลอิสระ (Free sugar) ซึ่งหมายถึง น้ำตาลที่มีการเติมเพิ่มลงไปในอาหาร รวมถึง น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม น้ำผลไม้ และน้ำผลไม้ชนิดเข้มข้น โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับทั่วไป แนะนำสำหรับผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน และระดับเพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น แนะนำให้บริโภคน้ำตาลต่ำกว่าร้อยละ 5 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน หรือคิดเป็นน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
ชีวิตติดหวานเกิดจากการที่เราบริโภคน้ำตาลเกินจำเป็นจนติดเป็นนิสัย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบทันทีทันใดคงไม่ง่ายนัก แต่อย่างไรก็ตาม “น้ำตาล” ไม่ใช่สารเสพติด ที่เมื่อขาดแล้วร่างกายจะเกิดอาการรุนแรงจนร่างกายทนไม่ได้ ดังนั้น พฤติกรรมติดหวานจึงสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยเทคนิค 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1. เริ่มปรับที่ตนเองก่อน โดยเริ่มลดปริมาณการรับประทานน้ำตาลลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มสร้างความเคยชินกับรสชาติใหม่ที่หวานน้อยลงจากเดิม เช่น เคยเติมน้ำตาลในอาหารหรือเครื่องดื่มก็ลดหรืองดการเติม เคยสั่งเครื่องดื่มหวานปกติก็ปรับเป็นสั่งแบบหวานน้อย เป็นต้น พยายามปฏิบัติให้ได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน จะทำให้พฤติกรรมดังกล่าวติดเป็นนิสัย และช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างยั่งยืน
2. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ หรือปราศจากน้ำตาล โดยอ่านข้อมูลปริมาณน้ำตาลจากฉลากโภชนาการก่อนทุกครั้งที่จะซื้อ ซึ่งในปัจจุบันมีหลายผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาสูตรให้มีปริมาณน้ำตาลที่ลดลง โดยทั่วไปจะระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ว่า ไม่เติมน้ำตาล (No Sugar Added) หรือ ปราศจากน้ำตาลทราย หรือเครื่องดื่มบางชนิดแสดงสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” เพื่อแสดงให้ทราบว่า เครื่องดื่มนี้มีปริมาณน้ำตาล ไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร
3. ปรับ Mindset ใหม่ โดยให้คิดว่า “ชีวิตติดหวานเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วคราว แต่ชีวิตที่อ่อนหวานเป็นความสุขที่ยั่งยืน” เพราะจะทำให้ห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงพร้อมที่จะดูแลตนเองและครอบครัวที่คุณรักอย่างเต็มประสิทธิภาพ